Monday, December 20, 2010

Pretty Motor Expo 2010 - 10














 

Friday, December 17, 2010

Eco Car from Mitsubishi

จากการที่ Honda ขยับตัวด้วยการเปิดตัว BRIO Prototype ไปเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายที่มีแผนเปิดตัว Eco Car จับตามองอย่างใกล้ชิด รวมถึง Mitsubishi ที่ถือโอกาสเผยความในใจในพิธีวางศิลาฤกษ์โรงงานแห่งใหม่ที่แหลมฉบัง ชลบุรี ว่าบริษัทฯเตรียมเปิดตัว Mitsubishi Eco Car Concept ในงาน Motor Expo 2011 ปลายปีหน้า และจะเปิดจองในงาน Motor Show 2012 ต้นปี 2555 ซึ่งจะสอดคล้องกันพอดีกับการเปิดโรงงานที่จะรองรับการผลิต Eco Car รุ่นนี้ด้วยเช่นกันในปี 2555
 Mitsubishi Eco Car Concept  รูปที่ 1
Mitsubishi มั่นใจว่าจะทำยอดขาย Eco Car ได้ถึง 20,000 คัน/ปี หรือตกเดือนละประมาณเกือบ 2,000 คัน ส่วนหน้าตาก็จะประมาณภาพสเก็ทช์ที่เห็นอยู่นี้ซึ่งถือว่ายังห่างไกลความเป็น จริงอยู่มาก ถึงตอนนั้นแล้วยังไม่รู้ว่า Honda BRIO จะโกยยอดขายไปเท่าไร ในขณะที่ค่ายอื่นๆคงเริ่มทยอยปล่อยของออกมาให้ตลาดรับรู้เพื่อสกัดยอดขายของ คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
Mitsubishi Eco Car Concept  รูปที่ 2
ขอบคุณเนื้อหาจากMitsubishi Eco Car Concept  รูปที่ 3

Wednesday, December 15, 2010

ฟอร์ดทุกรุ่นดอกเบี้ย 0.99% ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี*

พลาดปีนี้ ต้องรอถึงปีหน้า กับข้อเสนอสุดพิเศษในงาน Motor Expo

ฟอร์ดทุกรุ่นดอกเบี้ย 0.99% ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี*

พลาดแล้วจเสียดาย กับข้อเสนอที่ไม่มีใครกล้าให้ในงาน Motor Expo 2010 ที่เมืองทองธานี 1-13 ธันวาคม 2553
ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน เมื่อซื้อ ฟอร์ด โฟกัสม เอสเคป เอเวอร์เรสต์ และ เรนเจอร์

ฟอร์ดช่วยผ่อนให้คุณฟรี 6 เดือน

พิเศษสุดเฉพาะฟอร์ดเรนเจอร์ โอเพ่นแค็บ XLS และ ฟอร์ดเรนเจอร์ โอเพ่นแค็บ ไฮไรเดอร์ XLS
ดาวน์ต่ำเพียง 10% ผ่อนนาน 72 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรกฟรี *

วันนี้ - 31 ธันวาคม 2553 พอข้อเสนอเดียวกันกับงาน Motor Expo ที่โชว์รูมฟอร์ดทั่วประเทศ
* เมื่อเช่าซื้อผ่าน ฟอร์ด ลีสซิ่ง เท่านั้น
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ที่ Call Center โทร 0-2686-5899 (กรุงเทพฯ)
หรือ โทร.1-800-293-333 (ต่างจังหวัดโทรฟรี)

Tuesday, December 14, 2010

Toyota Prius 2011 3rd Generation


มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงข่าวถึงความพร้อมสำหรับการผลิตและจำหน่าย ”โตโยต้า พริอุส” ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2553 ที่ ห้องคริสตัล ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี
เมื่อปี พ.ศ.2508 ก่อนที่ประชาคมโลกจะให้ความสนใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเหมือนเช่นปัจจุบันนั้น โตโยต้าได้เริ่มพัฒนาระบบไฮบริด และเป็นระยะเวลากว่า 30 ปีในการทุ่มเทวิจัยพัฒนา จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 โตโยต้าจึงได้ผลิตรถยนต์ไฮบริดออกจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เป็นรุ่นแรกของโลก จากนั้นในปี พ.ศ. 2546 โตโยต้า พริอุส รุ่นที่ 2 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี ไฮบริด ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ได้ถูกแนะนำเข้าสู่ตลาด ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั่วโลกเป็นอย่างดี และในปี พ.ศ.2552 โตโยต้า พริอุส เจนเนอเรชั่นที่ 3 ได้รับการแนะนำอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นและได้รับการตอบรับ เป็นอย่างดี


7 รางวัลเกียรติยศ สำหรับ โตโยต้า พริอุส
- ปี 1997-98 รางวัล Car of the year ประเทศญี่ปุ่น
- ปี 1999 รางวัล ECO-Mission’99 North America
- ปี 2004 รางวัล Motor Trend Car of the Year
รางวัล Car of the year ของทวีปอเมริกาเหนือ
- ปี 2005 รางวัล Car of the year ของทวีปยุโรป
- ปี 2006 Winner of ECO Challenge
- ปี 2008 รางวัล JD Power ”Most Dependable Compact Car”
ยอดขาย โตโยต้า พริอุส ทั่วโลก
- เจนเนอเรชั่นที่ 1 120,000 คัน
- เจนเนอเรชั่นที่ 2 1,180,000 คัน
- เจนเนอเรชั่นที่ 3 710,000 คัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2553)
มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ”โตโยต้า มีพันธกิจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่พร้อมไปด้วยเทคโนโลยีและการออกแบบที่ทัน สมัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงปรัชญาของโตโยต้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้แนะนำ คัมรี ไฮบริด เป็นครั้งแรกในทวีปเอเชียและประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างอบอุ่น โดยจะมียอดขายบรรลุ 10,000 คัน ภายในเดือนนี้ และเราพร้อมที่จะแนะนำรถยนต์ไฮบริด อีกรุ่นหนึ่ง นั่นคือ พริอุส กับลูกค้าชาวไทย และประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ที่จะทำการผลิตพริอุส ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้”


”พริอุสนั้น เป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของโลกที่ผลิตเพื่อการจำหน่าย หลังจากใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฮบริดมาเป็นเวลากว่า 30 ปี และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั่วโลก โดยมีจำหน่ายใน 70 ประเทศทั่วโลก มียอดขายสะสมกว่า 2 ล้านคัน สำหรับรถยนต์ พริอุส รุ่นนี้ เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 โดยเริ่มแนะนำสู่ตลาดเมื่อเดือน พฤษภาคม ปี 2009 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น ด้วยยอดจองในช่วง 2 เดือนแรก กว่า 100,000 คัน และจนถึงขณะนี้ พริอุส เจนเนอเรชั่นที่ 3 นี้ มียอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกกว่า 710,000 คัน ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวของ พริอุส สามารถยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า โตโยต้า พริอุส เป็นยนตรกรรมที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นล้ำสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า สมรรถนะในการขับขี่ที่สนุกสนาน ตลอดจนคุณภาพ ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากลูกค้าทั่วโลก และผมมั่นใจว่า ลูกค้าชาวไทย ก็รอคอยการมาของ พริอุส เช่นกัน”

มร. ทานาดะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ”โตโยต้า พริอุส เจเนเรชั่นที่ 3 นี้จะทำการผลิตที่โรงงานโตโยต้า เกตเวย์ และสิ่งสำคัญที่สุด คือ วิศวกรของเรา และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ได้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาและทดสอบคุณภาพของพริอุสให้เหมาะสมกับประเทศไทย อย่างละเอียดถี่ถ้วน ในทุกสภาพการใช้งาน ทุกสภาพอากาศ และทุกสภาพภูมิประเทศ เพื่อความมั่นใจสูงสุด ผมเชื่อมั่นว่า พริอุส ที่จะแนะนำสู่ตลาดในครั้งนี้ จะมีความสมบูรณ์ และเหมาะสมกับตลาดเมืองไทยมากที่สุด”

”พริอุสนั้น ขับเคลื่อนด้วยระบบ Hybrid Synergy Drive โดยใช้เครื่องยนต์แก๊สโซลีนแบบ Atkinson ขนาด 1,800 ซีซี ให้สมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนาน ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผมถือโอกาสนี้ขอบคุณภาครัฐที่เล็งเห็นความสำคัญของรถยนต์ประเภทนี้ โดยให้การสนับสนุน ทั้งภาษีสรรพสามิต และภาษีนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญของระบบไฮบริด ทั้งนี้ การสนับสนุนดังกล่าวเป็นผลดีต่อราคาของพริอุส ทำให้ลูกค้าชาวไทยมีโอกาสได้ใช้รถยนต์พริอุส ในราคาประมาณ 1 ล้าน 3 แสนบาท ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 16 พฤศจิกายน และจะเปิดตัวต่อสาธารณชนในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โปที่จะถึงนี้” มร.ทานาดะ กล่าวในที่สุด

ข้อมูลจาก Autospinn, Toyota

Saturday, December 11, 2010

Pretty Motor Expo 2010 - 8














Friday, December 10, 2010

Pretty Motor Expo 2010 - 6















Thursday, December 9, 2010

เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท


รถยนต์ประเภทสเตชั่นแวกอน หรือที่ คนไทยชอบเรียกว่า “รถแวน” เป็นรถยนต์อีกเซ็กเม้นต์หนึ่งที่หลายคนชื่นชอบเพียงแต่ว่าในรถในเซ็กเม้นต์นี้ในประเทศไทย ไม่ค่อยจะมีตัวเลือกมากนัก
รถยนต์ประเภทสเตชั่นแวกอน หรือที่ คนไทยชอบเรียกว่า “รถแวน” เป็นรถยนต์อีกเซ็กเม้นต์หนึ่งที่หลายคนชื่นชอบเพียงแต่ว่าในรถในเซ็กเม้นต์ นี้ในประเทศไทย ไม่ค่อยจะมีตัวเลือกมากนัก จะมีก็เป็นรถยนต์ของค่ายยุโรปที่มีราคาค่อนข้างจะสูงเกินความใฝ่ฝันของคนไทย ระดับกลาง แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบรถประเภทสเตชั่นแวกอนราคาไม่สูงมากนักในตอนนี้มีตัว เลือกอีกทางสำหรับคนไทยนั้นคือ เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท

เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท ได้ออกสู่ตลาดมาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา หรือราวๆ 4-5 เดือนแล้ว ด้วยรูปลักษณ์ หน้าตา และราคาแล้ว ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมจึงไม่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคคนไทยสักเท่าไหร่ ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง จึงได้ติดต่อกับทาง เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ขอลองนำมาขับดูให้หายสงสัยว่าเพราะอะไร .....

รูป ลักษณ์ภายนอกด้านหน้าของเชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท ไม่แตกต่างจาก รุ่นออพตร้า ซีดาน มากนัก กระจังหน้าโครเมี่ยมออกแบบใหม่ พร้อมแถบคาดกลางและสัญลักษณ์โบว์ไท ของเชพโรเลต กันชนหน้าออกแบบให้ดูสปอร์ตนิดๆพร้อมเสริมด้วยชุดแอโรพาร์ตรอบคัน ด้านท้ายออกแบบให้มีไฟท้ายขนาดใหญ่มองในบางมุมอาจจะดูออกเหลี่ยมๆ แต่ ทางเชฟโรเลตก็พยายามลบความเหลี่ยมด้วยการหักมุมเส้นสายให้ดูโค้งมน ซึ่งในสายตาของผู้ทดลองขับแล้วรู้สึกว่าออกแบบได้สวยลงตัวดี เพราะเท่าที่ผ่านมารถประเภทนี้หากการออกแบบให้โค้งมนมากเกินไป จะทำให้ดูแปลกตาและดูไม่สวยเท่าไหร่ ถ้านึกภาพไม่ออกลองนึกถึง นิสสัน เอ็นวี แวน โดยรวมๆแล้วภายนอกของเชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท ถือว่าสวยงามสไตล์รถสเตชั่นแวกอนสัญชาติอเมริกัน

ภาย ในเมื่อเข้าไปสัมผัสแล้ว คิดว่าทางเชฟโรเลตออกแบบรุ่นนี้ออกมาเพื่อเป็นรถราคาประหยัดสำหรับคนไทย เพราะการออกแบบภายในและบริเวณคอนโซลหน้า ดูค่อนข้างจะเรียบง่ายมากๆ ลบความรู้สึกความเป็นเหลี่ยมด้วยช่องแอร์ที่ออกแบบให้เป็นทรงกลมดูเหมือนคลา สสิคคาร์รุ่นเก่าๆ คอนโซลใช้สีทูโทนทำให้ดูหรูหรามากขึ้น ออพชั่นต่างๆที่ติดตั้งมาเป็นออพชั่นพื้นๆที่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว มีอยู่อีกจุดหนึ่งที่อาจจะแปลกกว่าชาวบ้านเค้าหน่อยก็คงจะเป็นช่องเก็บของ หน้ารถด้านผู้โดยสารที่มีระบบทำความเย็นสามารถแช่ กาแฟกระป๋องได้ประมาณ 4 กระป๋อง ซึ่งจะให้เรียกเต็มปากเต็มคำว่าเป็นตู้แช่หรือตู้เย็นภายในรถก็คงจะไม่ได้ เพราะเป็นเพียงช่องลมแอร์ที่เจาะเพิ่มขึ้นบริเวณคอนโซลหน้าเป่าลงไปในช่อง เก็บของเท่านั้น

ห้องโดยสารถือว่ากว้าง ขวาง นั่งสบาย เบาะนั่งไม่มีให้เลือกเป็นแบบเบาะผ้าอย่างเดียว เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถแยกพับได้ซ้ายขวา แล้วแต่การใช้งาน เพื่อเพี่มพื้นที่การบรรทุกสัมภาระ ซึ่งจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของรถประเภทสเตชั่นแวกอน ส่วนพื้นที่ตอนหลังสำหรับเก็บสัมภาระนั้นกว้างขวางดีที่เดียว

ขุม พลังของ เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท เป็นเครื่องยนต์ขนาด 1,600 ซีซี แบบดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (DOHC) แถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 107 แรงม้าที่ 5,800 รอบต่อนาที รถ รุ่นนี้มีเกียร์ธรรมดาเป็นระบบส่งกำลังเพียงอย่างเดียว ไม่มีเกียร์อัตโนมัติให้เลือก ซึ่งตรงจุดนี้เองหรือเปล่าที่ทำให้หลายๆคนต่างที่จะเปลี่ยนใจไม่คิดที่จะ เลือกใช้เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท เพราะในปัจจุบัน รถยนต์เกียร์ธรรมดาแทบจะไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้าเท่าไหร่ เนื่องมาจากสภาพการจราจรรวมถึงความสะดวกสบายในการใช้งาน
ในการลอง ขับเครื่องยนต์ตอบสนองได้ดีพอสมควร ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าอาจจะรู้สึกอืดๆไปสักนิดหนึ่ง แต่ถ้าลองมาเปรียบเทียบกับตัวบอดี้ที่เป็นรถแบบสเตชั่นแวกอนที่มีน้ำหนัก มากกว่ารถซีดานแม้ว่าจะไม่มากแต่ก็มีส่วนสำคัญ และคิดว่าเป็นรถใช้งานทั่วไปที่ไม่ต้องการความแรง เร็ว ก็ถือว่าเชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท อยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดี มั่นใจในการเร่งแซง(เพราะเป็นเกียร์ธรรมดา) ความเร็วสูงสุดที่ลองขับครั้งนี้ต้องขอบอกว่าไม่ได้ลองขับความเร็วขนาดนั้น เพียงแค่ขับเหมือนคนปกติทั่วไป 130-140 กม./ชม แค่นั้นเลยไม่รู้ว่าสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เท่าไหร่ เพราะจากจุดประสงค์การใช้งานของรถประเภทนี้แล้วคงไม่ค่อยจะพูดถึงความเร็ว มากนัก

การควบคุมพวงมาลัยมีความแม่นย่ำพอสมควร พวงมาลัยไม่หนักและไม่เบาเกินไปสามารถใช้งานได้ง่าย ระบบช่วงล่างเป็นแบบอิสระ 4 ล้อ แม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง และด้านหลังแบบอิสระ Dual Link พร้อมเหล็กกันโคลง ให้ความนิ่มนวลได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ยังมีความรู้สึกถึงความกระด้างอยู่เล็กน้อย แต่ในเรื่องของการยึดเกาะถนนนั้นถือว่าทำได้ดี

ส่วนใน เรื่องของการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารนั้น หากจะให้เงียบอย่างที่ เชฟโรเลต โฆษณาไว้คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าเงียบขนาดไหน ตอบได้ว่าก็เงียบเหมือนรถทั่วๆไป ในส่วนของเสียงเครื่องยนต์ที่เข้ามาในห้องโดยสารนั้นก็มีเล็ดลอดเข้ามาอย่าง แน่นอน โดยเฉพาะเวลาเร่งเครื่องซึ่งเป็นปกติของรถทั่วไป ถ้าถามผู้ลองขับแล้วเรื่องของความเงียบภายในห้องโดยสารสำหรับเชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท ไม่มีความแตกต่างกับรถใหม่ป้ายแดงยี่ห้ออื่นทั่วไป ส่วนด้านของอุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆนั้น ก็มีไม่แตกต่างกับรถในระดับขนาดกลางระดับเดียวกันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยด้านคนขับ ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบเอบีเอส และระบบกระจายแรงเบรกอัตโนมัติ

บท สรุปของ เชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท สำหรับผู้ลองขับเองแล้วนั้น มีความรู้สึกว่าถ้าใครที่ต้องการรถสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันจริงๆ ไม่ได้สนใจความหรูหราของภายในรถ และไม่ยึดติดกับรถซีดาน รวมถึงไม่เกี่ยงที่จะต้องขับรถเกียร์ธรรมดา ก็ถือว่าเป็นรถที่น่าใช้อีกคันหนึ่งกับราคาค่าตัว 766,000 บาท กับรถประเภทสเตชั่นแวกอนที่ไม่มีให้เลือกเลยในตลาดรถยนต์เมืองไทยปัจจุบันในราคาขนาดนี้

แต่ ถ้าจะให้ดีแล้วในความคิดเห็นของ ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง ถ้าเชฟโรเลต ออพตร้า เอสเตท มีรุ่นเกียร์อัตโนมัติขาย ยอดขายน่าจะไปได้ดีกว่านี้ แต่ก็อย่างว่าเกียร์อัตโนมัติก็คงจะอืดกว่านี้แน่ๆ เพราะบอดี้ขนาดนี้น่าจะวางเครื่อง 1,800 ซีซี น่าจะเหมาะกว่า แต่ก็อย่างว่า ทางเชฟโรเลต คงจะไม่คิดทำตลาดตัวนี้อย่างจริงจังเท่าไหร่ เพราะไม่มีการโปรโมทหรือแผนรุกตลาดใดๆออกมาเลย ที่มีขายอยู่นี่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างที่เค้าลือกันหรือเปล่า ว่าเป็นความผิดพลาดจากโปรเจ็คท์เก่าที่วางไว้(ลองคิดเล่นๆว่ารถอะไรที่ขาย โดยไม่จำเป็นต้องมีเกียร์ออโต้ เพราะผู้ใช้งานต้องการประหยัดให้มากที่สุด มีหลากสีสันวิ่งกันให้เกลื่อนถนน) เลยต้องนำรถออกมาเปิดขายระบายออกจากสต็อก

ข่าวจาก rodyont.com

Wednesday, December 8, 2010

Pretty Motor Expo 2010 - 4